เทคนิคการออกแบบ
| |||||||||||||||||||||||
สีแต่ละสีจะมีความหมายเป็นลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งจะให้ความรู้สึกทั้งในด้านที่ดี หรือ ไม่ดีไปตามลักษณะของแต่ละสี ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรมของแต่ละแห่ง | |||||||||||||||||||||||
จุดสำคัญของทฤษฎีสีคือ สีเป็นคุณสมบัติของแสง ไม่ใช่ตัวของมันเอง คุณสมบัติของแสงนี้ เซอร์ ไอแซค นิวตัน เป็นผู้ค้นพบในศตวรรษที่ 17 เมื่อเขาให้แสงสีขาวส่องผ่านแท่งแก้วปริซึม แยกแสงสีขาว ออกเป็นสีรุ้ง 7 สีและได้แตกตัวออกเป็นสีในวงจรสี (Color Wheel) มีอยู่ 12 สี วัตถุไม่มี สีแท้ในตัวมันเอง แต่มีความสามารถจะสะท้อนแสงซึ่งมีสีอยู่ในนั้น วัตถุสีน้ำเงินดูดซึมแสง ได้ทั้งหมด ยกเว้นสีน้ำเงินด้วยกัน วัตถุสีดำดูดซึมแสงได้ทั้งหมด แต่วัตถุสีขาวสะท้อนแสง ทั้งหมด ความสำคัญของสีสำหรับศิลปินอยู่ที่ว่าเมื่อแสงเปลี่ยนไป สีก็จะเปลี่ยนไป สีก็จะ เปลี่ยนตามไปด้วย ดังนั้นจึงไม่มีสีแท้สำหรับวัตถุโดยเฉพาะ | |||||||||||||||||||||||
การปรากฏของสีที่ผิวของวัตถุ ในธรรมชาติ สีแสงจะมีหลายสีประกอบกันอยู่เป็นแสงสีใส เมื่อแสงกระทบวัตถุที่มีสีวัตถุนั้น จะดูดสีทั้งหมดของแสงไว้ แล้วสะท้อนเฉพาะสีที่เหมือนกับวัตถุนั้นออกมา เราจึงเห็นสีของ วัตถุนั้น ตัวอย่างเช่น แสงส่องมาถูกรถสีเหลือง สีเหลืองของรถจะรับกับสีเหลืองในแสง แล้ว สะท้อนสีเหลืองนั้นเข้าสู่ตาของเรา วัตถุสีขาวจะสะท้อนสีออกมาทุกสี แต่วัตถุสีดำ ไม่สะท้อน สีเหลืองนั้นเข้าสู่ตาของเรา วัตถุสีขาวจะสะท้อนสีออกมาทุกสี แต่วัตถุสีดำไม่สะท้อนสีใดเลย | |||||||||||||||||||||||
ชนิดของสี สีมี 2 ชนิด คือ | |||||||||||||||||||||||
1. สีที่เป็นแสง (Spectrum) แม่สีจากแสงสว่าง (Spectum Primaries ประกอบด้วย 3 สี คือ 1. สีแดงส้ม (Vermillion) 2. สีเขียว (Emerald) 3. สีม่วง (Violet) เมื่อนำแม่สีแสงสว่าง 3 สีมาผสมเข้าด้วยกัน (ใช้สีแสง) จะปรากฏเป็นสีกลาง คือ ไม่แสดง สีใดที่เด่นออกมา(สีใส) | |||||||||||||||||||||||
สีแสงขั้นที่หนึ่งจากวงจรสีแสง 1. แดงส้ม (Vermillion) 2. เขียว (Emerald) 3. ม่วง (Violet) | |||||||||||||||||||||||
สีแสงขั้นที่สอง 1. แดง(Vermillion) + เขียว(Emerald) = เหลือง (Yellow) 2. เขียว(Emerald) + ม่วง (Violet) = น้ำเงิน (Blue) 3. ม่วง(Violet) + แดงส้ม(Vermillion) = แดง (Red) และ ถ้านำแม่สีแสงที่ 3 มารวมกัน(ใช้สีแสง) แดง(Vermillion) + เขียว(Emerald) + ม่วง (Violet) = สีใส (Light) | |||||||||||||||||||||||
2.สีที่เป็นวัตถุ สีที่เป็นวัตถุ (Pigment) คือสีที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป เช่น พืช สัตว์ แร่ธาตุ ฯลฯ สีที่เป็นวัตถุ ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ | |||||||||||||||||||||||
2.1 เนื้อสี (Pigment) ได้มาจากวัตถุที่มีรงค์สีจากธรรมชาติ(Raw Material) และจากการสังเคราะห์ด้วย กรรมวิธีทางเคมี(Chemical Process) ซึ่งปัจจุบันเราใช้สีที่ผลิตจากโรงงานที่ผลิต และผสมด้วยกรรมวิธีทางเคมีมาเรียบร้อยแล้ว | |||||||||||||||||||||||
2.2 ตัวผสมสี (Binder) คือ ของเหลวที่มีคุณสมบัติทางเคมีในการช่วยยึดโมเลกุลของเนื้อสีเข้าด้วยกัน และ ช่วยในการผสมสีให้มีความเข้มข้นตามที่เราต้องการ ได้แก่ น้ำใช้ผสมสีน้ำ สีพลาสติก สีอะคลิลิค สีโปรเตอร์ และสีฝุ่น เป็นต้น น้ำมันสน ทินเนอร์ น้ำมันปอปปี้ แอลกอฮอล์ น้ำมันลินซีด(Linseed) ใช้ผสมกับสีที่มีส่วนผสมของน้ำมันซึ่งต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม กับประเภทของสีตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ | |||||||||||||||||||||||
พอสรุปได้ว่า สีทุกประเภทที่ใช้กับวงการศิลปะ จะต้องมีส่วนประกอบด้วย 2 ส่วนคือ เนื้อสี(Pigment) + ตัวผสมสี (Bender) | |||||||||||||||||||||||
การแบ่งประเภทของสีที่เป็นวัตถุ | |||||||||||||||||||||||
1. แบ่งตามลักษณะของตัวผสมสี แบ่งออกเป็น 1.1 สีที่ผสมน้ำ (Water Based Color) คือสีที่มีส่วนผสมกับน้ำเป็นหลัก ได้แก่ สีน้ำ สีพลาสติก สีโปรเตอร์ สีฝุ่น สีอะคลิลิค เป็นต้น 1.2 สีที่มีส่วนผสมของน้ำมันเป็นหลัก (Oil Based Color) ได้แก่ สีน้ำมัน สีพิมพ์ เป็นต้น | |||||||||||||||||||||||
2. แบ่งตามลักษณะของเทคนิคที่ใช้ 2.1 สีที่ใช้ระบาย (Painted Color) คือสีที่ใช้เทคนิคการทาระบาย ได้แก่ สีน้ำ สีน้ำมัน สีอะคลิลิค สีพลาสติก สีผุ่น สีดินสอ สีเมจิก 2.2 สีที่ใช้พิมพ์ (Printing Color) คือ สีที่ใช้ในการพิมพ์ เช่น สีพิมพ์แกะไม้ (Woodcut Ink) สีพิมพ์สกีน สีพิมพ์โลหะ สีพิมพ์สติกเกอร์ สีพิมพ์ร่องลึก สีพิมพ์ระบบออฟเซท 2.3 สีที่ใช้พ่น (Spray Color) คือสีที่ใช้เครื่องพ่นสี อาจเป็นกระป๋อง หรือปากกา(Airbrush) ได้แก่ สีพ่นสีหมึก สีอะคลิลิค สีน้ำมันสำหรับพ่น เป็นต้น 2.4 สีที่ใช้ย้อม (Dye Color) คือสีที่ใช้ย้อมสิ่งของต่างๆ เช่นสีย้อมผ้า(Fabric Dye Color) สีย้อมหนัง (Leather Dye) เป็นต้น | |||||||||||||||||||||||
3. แบ่งตามลักษณะที่แสงผ่าน 3.1 สีโปร่งแสง (Transparent Color) คือ เนื้อสีที่มีความบางใน เนื้อสีละเอียดสามารถ ระบายทับกันได้ โดยยังเห็นสีชั้นล่างที่ลงไปก่อน ได้แก่ สีน้ำ สีอะคลิลิค สีย้อม สีหมึก 3.2 สีทึบแสง (Opaque Color) คือ สีที่มีเนื้อสีเข้มข้น ระบายแล้วมีความหนา แสงผ่าน ไม่ได้ สามารถระบายทับกันได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นสีชั้นล่างที่ลงไปก่อน ได้แก่ สีโปรเตอร์ สีน้ำมัน สีเทียบ สีชอล์ค เป็นต้น | |||||||||||||||||||||||
ทฤษฏีสี (Theory of Color)
| |||||||||||||||||||||||
สีมีลักษณะ 3 มิติ ประกอบด้วย | |||||||||||||||||||||||
1. ความเป็นสีแท้ (Hue) หมายถึง สีที่อยู่ในวงจรสีทุกสี ที่ไม่มีสีขาวหรือสีดำเข้าไปผสม ความเป็นสีแท้(Hue) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.1 แม่สี (Primary Colors) หมายถึง สีที่เป็นพื้นฐานของสีอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นจากการผสมของสีใดๆให้เกิดเป็นแม่สี มีคุณลักษณะ ของความเป็นสีแท้สูงที่สุด มี 3 สี คือ 1. สีแดง (Red : Crimson Lake) 2. สีเหลือง (Yellow : Gamboge) 3. สีน้ำเงิน (Blue : Prussion Blue) | |||||||||||||||||||||||
1.2 สีขั้นที่สอง (Secondary Colors) หมายถึง สีที่เกิดจากการผสมกันทีละคู่ของแม่สีมี 3 สี คือ 1. สีส้ม(Orange) = สีแดง (Red) + สีเหลือง (Yellow) 2. สีเขียว(Green) = สีเหลือง (Yellow) + สีน้ำเงิน(Blue) 3. สีม่วง(Violet) = สีแดง(Red) + สีน้ำเงิน(Blue) | |||||||||||||||||||||||
1.3 สีขั้นที่สาม (Tertiary Colors) หมายถึง สีที่เกิดจากการผสมกันทีละคู่ของแม่สีกับสีขั้นที่ 2 มี 6 สี คือ 1. สีเขียวเหลือง = สีเหลือง + สีเขียว 2. สีเขียวน้ำเงิน = สีน้ำเงิน + สีเขียว 3. สีม่วงน้ำเงิน = สีน้ำเงิน + สีม่วง 4. สีม่วงแดง = สีแดง + สีม่วง 5. สีส้มแดง = สีแดง + สีสัม 6. สีส้มเหลือง = สีเหลือง + สีส้ม | |||||||||||||||||||||||
|
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น